เปิดตัว TUDOR รุ่นใหม่ ปี 2023
TUDOR (ทูดอร์) แบรนด์นาฬิกาสัญชาติสวิสที่เต็มเปี่ยมด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัย ได้รับการออกแบบมาเพื่อการใช้งานอย่างแท้จริง โดยใช้วัสดุชั้นดีเยี่ยมในการผลิต มีความแข็งแกร่งทนทานและเที่ยงตรง ทำให้นาฬิกาทุกเรือนมีมาตรฐานและเข้าถึงกลุ่มผู้คนได้อย่างหลากหลาย ซึ่งในปี 2023 นี้ ทางแบรนด์ก็ได้เปิดตัวนาฬิการุ่นใหม่ที่ถูกเพิ่มเข้ามาในหลายคอลเลกชัน ได้แก่ TUDOR Royal, TUDOR Black Bay 41 Master Chronometer, TUDOR Black Bay 54, TUDOR Black Bay 31/36/39/41 และ TUDOR Black Bay GMT

TUDOR Royal
มาเริ่มกันที่คอลเลกชัน TUDOR Royal เป็นคอลเลกชันที่มีการดีไซน์แบบคลาสสิก ดูดีมีระดับ (Dressy sport) ที่มีการเปิดตัวรุ่นใหม่ 2 สี ได้แก่ หน้าปัดสีแซลมอน และ สีน้ำตาลช็อกโกแลต มีหลากหลายขนาด คือ 28, 34, 38 และ 41 โดดเด่นด้วยขอบหน้าปัดที่มีรอยบากเป็นขีด ๆ มาพร้อมหลักชั่วโมงประดับเพชรทรงกลมบนหน้าปัด ติดตั้งชุดเข็มชั่วโมง, นาที และวินาทีอยู่ตรงกลางหน้าปัด นอกจากนี้ยังมีช่องหน้าต่างวันที่อยู่บริเวณ 3 นาฬิกาที่ถูกออกแบบมาให้มีความลึกลงเล็กน้อย เพื่อให้ดูวันที่ได้ง่ายในทุกมุมมอง ตัวเรือนและสายนาฬิกาของ TUDOR Royal ผลิตขึ้นจากวัสดุสเตนเลสสตีลและมีการเคลือบผิวแบบซาตินตลอดทั้งเรือน ทำให้นาฬิกามีมิติและสวยงาม จับคู่มากับสายนาฬิกาแบบ Five-Link ขับเคลื่อนการทำงานด้วยกลไก Caliber T201 (28 มม.), T601 (34 มม. และ 38) หรือ T603 (41 มม.) ที่อิงตามกลไก ETA/Sellita พร้อมสำรองพลังงาน 38 ชั่วโมง ส่วนราคาสำหรับตัวเรือนและสายสตีล จะเริ่มต้นตั้งแต่ 95,111 บาท ไปจนถึง 101,588 บาท สำหรับตัวเรือนและสายทูโทน ราคาจะเริ่มต้นที่ 142,496 บาท ไปจนถึงถึง 151,359 บาท

TUDOR Black Bay 41 Master Chronometer
ถัดมากับคอลเลกชัน Black Bay นาฬิกาสุดสปอร์ตที่ขายดีที่สุดของแบรนด์ โดยรุ่นใหม่ล่าสุดปี 2023 นี้ มีการออกแบบใหม่ที่โดดเด่นด้วยขอบตัวเรือนสีแดงเบอร์กันดีตัดกับหน้าปัดสีดำได้อย่างลงตัว มาพร้อมขนาดตัวเรือน 41 มิลลิเมตร และเข็มชั่วโมง Snowflake ที่มีลักษณะเป็นแฉก ๆ อันเป็นเอกลักษณ์ที่ยังคงไว้เช่นเดิม แต่มีการใช้เข็มวินาทีแบบใหม่ที่ตรงกลางเกือบปลายเข็มเป็นทรงกลมเข้ามาแทนที่ทรงสี่เหลี่ยมพร้อมเคลือบสารเรืองแสงไว้เพื่อให้อ่านเวลาได้ในที่มืด ทั้งหมดนี้ทำให้รูปลักษณ์ของหน้าปัดดูสวยงามและให้ลุคที่แตกต่างอย่างลงตัว
โดยไฮไลต์ของเรือนนี้อยู่ที่กลไกใหม่ที่ถูกยกระดับความแม่นยำเหนือ COSC ขึ้นไปอีกขั้น ซึ่งขับเคลื่อนการทำงานด้วยกลไกไขลานอัตโนมัติ Caliber MT5602-U ที่สามารถสำรองพลังงานได้นานถึง 70 ชั่วโมง ซึ่งกลไกนี้ทางแบรนด์ได้พัฒนาขึ้นมาเองและได้ผ่านการรับรองความแม่นยำ Master Chronometer โดยสถาบัน METAS มาพร้อมตัวเรือนจับคู่มากับสายนาฬิกที่มีให้เลือกถึง 3 แบบ คือ สายสตีล มีราคาอยู่ที่ 161,750 บาท, สาย Jubilee ราคา 165,490 บาท และสายยาง มีราคาอยู่ที่ 153,827 บาท

TUDOR Black Bay 54
ต่อมาเป็นรุ่น TUDOR Black Bay 54 ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากนาฬิกาดำน้ำ TUDOR รุ่นแรกที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 1954 ที่มาพร้อมขนาดตัวเรือน 37 มิลลิเมตร โดยรุ่นที่ออกมาใหม่ก็ยังคงขนาดตัวเรือนเท่าเดิม 37 มิลลิเมตร มีทั้งหมด 2 เวอร์ชัน คือ ตัวเรือนสเตนเลสสตีลจับคู่กับสายสตีล และ ตัวเรือนสเตนเลสสตีลที่จับคู่มากับสายยางสีดำ มาพร้อมหน้าปัดสีดำตัดกับหลักชั่วโมงและชุดเข็มสีทอง-ขาว ขอบตัวเรือนหมุนได้ทิศทางเดียวสลักสเกลจับเวลา 60 นาที โดยนาฬิการุ่นนี้ขับเคลื่อนด้วยกลไกไขลานอัตโนมัติ Cal. MT5400 ที่ทางแบรนด์ผลิตขึ้นมาเอง เดินด้วยความถี่ 28,800 ครั้ง/ชั่วโมง และสำรองพลังงานได้นาน 70 ชั่วโมง มาพร้อมกับความสามารถในการป้องกันสนามแม่เหล็กด้วยวัสดุ Silicon Balance Spring และผ่านการทดสอบความเที่ยงตรง Chronometer สำหรับราคาเวอร์ชันสายสตีลจะอยู่ที่ 138,400 บาท ส่วนสายยางสีดำ ราคาจะอยู่ที่ 130,900 บาท

TUDOR Black Bay 31/36/39/41
TUDOR Black Bay 31/36/39/41 เป็นนาฬิกาที่ถูกต่อยอดมาจาก Black Bay S&G ที่ได้เปิดตัวไปในปี 2022 ที่ผ่านมา โดยนาฬิการุ่นใหม่ล่าสุดนี้จะมีหน้าปัด 3 สี คือ สีน้ำเงิน สีดำ หรือ สีขาว ซึ่งมีขนาดตัวเรือนให้เลือก 4 ขนาด ได้แก่ 31, 36, 39 และ 41 มิลลิเมตร มาพร้อมขอบหน้าปัดแบบเรียบที่มีความคลาสสิกสวยงาม ส่วนพื้นหน้าปัดจะเป็นลวดลาย Sunburst ทำให้มีมิติเมื่อแสงตกกระทบ อีกทั้งยังประดับชุดเข็มขนาดใหญ่โดยเฉพาะเข็มชั่วโมง Snowflake ที่มีลักษณะเป็นแฉก ๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์เสมอมา ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้กระจกแซฟไฟร์ที่เคลือบสารกันสะท้อนไว้เป็นอย่างดี อยู่บนตัวเรือนสเตนเลสสตีลที่จับคู่มากับสายสตีลวัสดุเดียวกับตัวเรือน ขับเคลื่อนด้วยการทำงานของกลไกไขลานอัตโนมัติ In-House Cal. MT5201 ในรุ่น 31 ที่มาพร้อมการสำรองพลังงานนาน 50 ชั่วโมง, Cal. MT5400 ในรุ่น 36, Cal. MT5602 ในรุ่น 39 และ Cal. MT5601 ในรุ่น 41 ซึ่งสามารถสำรองพลังงานได้นาน 70 ชั่วโมง เดินด้วยความถี่ 28,000 ครั้ง/ชั่วโมง พร้อมความสามารถในการป้องกันสนามแม่เหล็ก และกลไกทั้งหมดนี้ได้ผ่านการทดสอบความเที่ยงตรง Chronometer ส่วนราคาก็จะมีตั้งแต่ 134,600 บาท ไปจนถึง 146,000 บาท

TUDOR Black Bay GMT
ปิดท้ายด้วย TUDOR Black Bay GMT รุ่นใหม่ โดดเด่นด้วยหน้าปัดสีขาว หลักชั่วโมงสีขาวและชุดเข็มที่มีความเรียวกว่ารุ่นอื่น ๆ มาพร้อมเข็ม GMT สีแดงที่บอกเวลา 2 ไทม์โซน ทำงานร่วมกับสเกล 24 ชั่วโมงอยู่บนขอบตัวเรือนทูโทนหมุนได้สองทิศทาง นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งหน้าต่างวันที่อยู่บริเวณ 3 นาฬิกา และมีเม็ดมะยมอยู่ด้านข้างตัวเรือนเพื่อหมุนสำหรับการตั้งค่าต่าง ๆ อยู่บนตัวเรือนสเตนเลสสตีล ขนาด 41 มิลลิเมตร ขับเคลื่อนด้วยกลไกไขลานอัตโนมัติ In-House Cal. 5652 เดินด้วยความถี่ 28,800 ครั้ง/ชั่วโมง และสำรองพลังงานได้นาน 70 ชั่วโมง ซึ่งได้รับมาตรฐานความเที่ยงตรง COSC มาพร้อมกับสายสตีล และสายผ้าแบบ NATO สีดำทอสลับกับสีแดงตรงกลาง โดยรุ่นสายสตีลจะมีราคาอยู่ที่ 155,400 และรุ่นสายผ้ามีราคาอยู่ที่ 144,100 บาท
ตรวจสอบ ราคานาฬิกา Rolex มือสอง ได้ที่นี่
ตรวจสอบ ราคานาฬิกา Patek Philippe มือสอง ได้ที่นี่
ตรวจสอบ ราคานาฬิกา Audemars Piguet (AP) มือสอง ได้ที่นี่
Auction House เว็บไซต์ ซื้อ - ขาย นาฬิกามือสอง ของแท้ ตรวจสอบราคา Rolex, Patek philippe, Audemars Piguet (AP), Omega, Panerai, IWC, Hublot, Cartier, Franck muller ได้ที่นี่